หน้าแรก » 🇹🇭 Le Du – ฤดู
Visit: July 5, 2024
🇹🇭 Le Du - ฤดู
เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร
399/3 ซอย สีลม 7 แขวง สีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
Tel: 092-919-9969

Cuisine
🍴 Thai Contemporary - อาหารไทยร่วมสมัย
Country
Thailand
MICHELIN Guide
1 MICHELIN Star
Score
15.5/20
Price









Price :
3,900-4,500++
Parking :
จอดฟรี 2 ชั่วโมงรอบอาคาร Trinity Complex
Operating Time :
มื้อกลางวัน พฤหัส-เสาร์ 12.00-14.00, มื้อเย็น จันทร์-เสาร์ 18.00-23.00 ปิดวันอาทิตย์
Dress Code :
Smart Casual
Score
👍 ห้องอาหารไทยร่วมสมัยที่ได้รับการพัฒนาและต่อยอดจนสามารถสร้างลายเซ็นต์ของตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ
อาหาร :
15.5
ราคา :
เทคนิค :
อัตลักษณ์ :
บรรยากาศ :
บริการ :
ไวน์ :
Map
📃 6-COURSE TASTING MENU (4,500++)

Le Du – ฤดู
1 MICHELIN Star – 1 ดาวมิชลิน
Thai contemporary – อาหารไทยร่วมสมัย
Chef Thitid Tassanakajohn (Chef Ton) – เชฟธิติฏฐ์ ทัศนาขจร (เชฟต้น)

[INTRO] บทความในวันนี้เราจะขอกล่าวถึง Le Du ซึ่งเป็นห้องอาหารไทยที่สร้างชื่อเสียงจนได้รับการยอมรับจากเหล่านักชิมทั่วทั้งทวีปเอเชีย ไม่นานมานี้เชฟต้นซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้านตัดสินใจปรับรูปโฉมใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งไปจนถึงแนวทางการออกแบบเมนู

AMUSE-BOUCHE
อาหารเรียกน้ำย่อย
เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วยทาร์ตเห็ดชิเมจิจับคู่กับความกรอบของถั่วและรสชาติของแกงคั่วกะทิใต้ ด้านบนท็อปด้วยผักคะน้ากรอบ (15/20)

AMUSE-BOUCHE
อาหารเรียกน้ำย่อย
จานนี้เชฟต้นนำเสนอซ่าปลาน้ำดอกไม้รสควันซึ่งเป็นเมนูจากภาคเหนือ ด้านบนท็อปด้วยมูสปลาส้มและมะแขว่นดองน้ำปลา (15/20)

AMUSE-BOUCHE
อาหารเรียกน้ำย่อย
คำนี้เชฟต้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้าวซอยโดยใช้ถ้วยที่เตรียมมาจากเส้นข้าวซอย ด้านในเป็นสตูว์เนื้อเข้มข้น ด้านบนตัดรสชาติด้วยเจลลี่หอมแดงโรยด้วยผิวมะนาว (15/20)

AMUSE-BOUCHE
อาหารเรียกน้ำย่อย
เกี๊ยวเบคอนไทยให้เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มคล้ายกันกับเกี๊ยว Momo หรือ Wonton ด้านในสอดไส้เบคอนไทยให้ความเค็มและหอม ไฮไลท์ของจานคือซุปผักกาดจออุ่น ๆ จับคู่กับครีมกระเทียมเจียวให้รสชาติที่แสนจะกลมกล่อม (15/20)

COBIA | COCONUT
ปลาซ่อนทะเลรมควันและมะพร้าว
ปลาช่อนทะเลที่ผ่านการรมควันจนหอม ด้านล่างรองด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนและเจลลี่หอยเสียบดองน้ำปลาช่วยรังสรรค์มิติทางเนื้อสัมผัสที่ลงตัว รอบ ๆ คือน้ำมันเฟลเนลสร้างกลิ่นฉุนเพียงเบา ๆ ไฮไลท์ของจานคือซอร์เบท์ที่เตรียมมาจากน้ำส้มสายชูมะพร้าวที่ผ่านกระบวนการบ่มมานานถึง 4 ปีให้รสชาติที่เปรี้ยวเข้มข้นเสริมกันกับความเปรี้ยวของมะนาวนิ้วมือคาเวียร์ได้อย่างกลมกล่อม (16/20)

BANANA PRAWN | BEETROOT | SOUR CURRY
แกงส้มกุ้งแชบ๊วยและบีทรูท
คอร์สนี้เชฟนำบีทรูทไปต้มกับกะทิเพื่อลดทอน Earthy Aroma ลงให้อยู่ในจุดที่พอเหมาะ ด้านล่างรองด้วยกุ้งแชบ๊วยดองสมุนไพรและเสิร์ฟมาที่ความสุกปานกลางคลุกเคล้ากันกับน้ำมันหัวกุ้งและน้ำมันปลาช่อนแห้ง เชฟเสริมความเค็มด้วยองค์ประกอบของปลากระเบนอบแห้ง สุดท้ายคือซอสที่เตรียมขึ้นมาจากน้ำมะขาม หอมเผา และกะปิเพื่อสร้างรสชาติของแกงส้มขึ้นในรูปแบบของตัวเอง จากนั้นตัดด้วยความฉุนเพียงเบา ๆ ของน้ำมันชะอม สำหรับคอร์สนี้อาจจะเป็นเมนูแกงส้มที่ทุกคนรู้จักกันดีแต่เชฟต้นสามารถสร้างวิธีการนำเสนอและรสชาติที่มีอัตลักษณ์เป็นของตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง (17/20)

SQUID | BONE MARROW
ต้มโคล้งดีหมึกและปลาหมึก
คอร์สนี้เชฟนำเสนอเมนูปลาหมึกผัดน้ำดำในรูปแบบใหม่โดยการผสมผสานเข้ากันกับต้มโคล้ง (16/20)

SQUID | BONE MARROW
ต้มโคล้งดีหมึกและปลาหมึก
เชฟนำเสนอหอยแมลงภู่ดองจัยคู่มากับกระเทียมดอง ยังมีแครกเกอร์กุ้งแพกรอบ ๆ เสริมด้วยรสชาติที่ได้จากเจลหอมแดงและเจลพริกน้ำปลา (16/20)

SQUID | BONE MARROW
ต้มโคล้งดีหมึกและปลาหมึก
อีกฝั่งหนึ่งคือต้มโคล้งที่เตรียมมาจากหมึกแห้งและปลากระบอกแห้งอุ่น ๆ ลงไป องค์ประกอบตรงกลางคือลูกชิ้นหมึกทอดนุ่มหนึบและฟักดองฝานบาง (16/20)

GROUPER | LOTUS STEM | SALTED FISH
แกงกะทิสายบัวปลาเค็มและปลาเก๋า
ปลาเก๋าที่เชฟย่างด้วยถ่านบินโจตันเสิร์ฟมาคู่กันกับเห็ดระโงกและเห็ดตับเต่าจากภาคเหนือ ไฮไลท์ของจานคือมูสดอกกะหล่ำที่ใส่อโรมาหอม ๆ ของปลากุเลาตากใบดองเค็มลงไปจนหอม ยังมีปลาสลิดกรอบและผงต้นหอมและชิ้นไหลบัวต้มกะปิ สุดท้ายคือแผ่นมันฝรั่งกรอบที่ใส่อโรมาของมะแขว่นเชียงใหม่ลงไปด้วยนั่นเอง (15/20)

THAI WAGYU | CHILI I WATERMELON
ข้าวยำแตงโมและผัดเผ็ดเนื้อ
เนื้อวัวไทยวากิวจากจังหวัดมุกดาหารย่างแล้วจี่ต่อ สำหรับผักเคียงมีทั้งซูคินี่ย่างห่อด้วยใบงา ด้านบนท็อปด้วยเบบี้แครอท ยังมีแตงโมที่ผ่านการดองในน้ำองุ่นให้รสชาริหวานฉ่ำวางมาคู่กับกับซอสมาโยพริกหวาน ด้านล่างรองด้วย Couscous ที่เตรียมมาจากข้าวสังข์หยดจากจังหวัดพัทลุงให้รสชาติที่รสชาติจัดจ้านโดยมีความหอมของสาหร่ายเสริมเข้ามาได้อย่างกลมกล่อม สุดท้ายคือซอสผัดเผ็ดเนื้อที่มีความเข้มข้นของไวน์แดงและความเผ็ดร้อนที่ค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นทีละน้อยของกระชายนั่นเอง (15/20)

PRE-DESSERT
ล้างปากด้วยซอร์เบท์ที่มีความฉุนของเบซิลอิตาลีและความเปรี้ยวของน้ำมะนาว ด้านล่างรองด้วยใบซอเรลที่จะช่วยบาลานซ์ความฉุนของเบซิล ส่วนด้านบนคือยอดมะขามอ่อนนั่นเอง (15/20)

BETAL LEAVE | TOASTED COCONUT
เมี่ยงคำผลไม้และไอศครีมมะพร้าวคั่ว
เมี่ยงคำผลไม้นำเสนอมาโดยใช้มูสไวท์ช็อกโกแลตสอดไส้ตรงกลางด้วยผลลิ้นจี่และผลกระท้อน ด้านบนคือความเปรี้ยวที่ได้จากเจลทับทิมและเจลขมิ้นมะนาวตกแต่งด้วยใบเมี่ยง ข้าง ๆ คือไอศกรีมมะพร้าวคั่วราดน้ำเมี่ยงที่มีความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ด้านล่างรองด้วยครัมเบิ้ลถั่วลิสงกรอบ ๆ ช่วยสร้างความแตกต่างทางเนื้อสัมผัสที่ลงตัว (15/20)

PETIT FOUR
ขนมหวานปิดท้าย
ปิดท้ายด้วยขนมเปียกปูนท็อปด้วยน้ำตาลมะพร้าวที่ตีเป็นอิตาเลียนเมอแรงก์และมะพร้าวอ่อน

PETIT FOUR
ขนมหวานปิดท้าย
ข้าง ๆ กันคือผลไม้ 9 อย่างเช่นส้มโอ สละ เจลลี่บ๊วยเค็มและ Poping Candy หรือเป๊าะแป๊ะช่วยสร้างความสนุกในปาก

เครื่องดื่มในมื้อนี้

Gift
นอกจากนี้ยังมี Forest Black Tea จากจังหวัดเชียงใหม่ที่มีคสามหอมของลิ้นจี่ ลำไย และเสาวรสมอบให้ติดไม้ติดมือกลับบ้านกันมาด้วย

[THE PLACE] เชฟต้นเลือกใช้คำว่า Le Du ที่มาจาก ฤดู ในการอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของวัตถุดิบที่ขึ้นตรงกับของสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย

ภายในร้านได้รับการปรับโฉมใหม่โดยใช้โทนสีดำบ่งบอกได้ถึงการเติบโตขึ้นของร้าน Le Du

ตัวร้านตั้งอยู่ในสีลมซอย 7 มีลักษณะเป็นตรอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

บนเพดานเต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ข้าว 3 กลุ่มที่แตกต่างกันไปตามฤดูร้อน, ฝน และหนาวในประเทศไทย

[THE CHEF] เชฟธิติฏฐ์ ทัศนาขจร หรือเชฟต้นเป็นหนึ่งในเชฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย เขาจบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งโดยในช่วงที่กำลังศึกษาชั้นมหาวิทยาลัยอยู่นั้นเขามีโอกาสเดินทางไป Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและได้ทำงานในห้องอาหารโรงแรมตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบและเตรียมห้องครัวจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ขึ้นมา หลังจากเรียนจบเขาได้เริ่มต้นทำงานในสถาบันการเงินชั้นนำแต่ด้วยความหลงไหลในการเป็นเชฟทำให้เขามุ่งมั่นที่จะเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้งเพื่อศึกษาต่อ MBA รวมไปถึงสถาบัน Culinary Institute of America หรือ CIA และจบมาด้วยคะแนนระดับท็อป เขายังได้ฝึกงานที่ห้องอาหาร Eleven Madison Park (3 MICHELIN Stars) และห้องอาหาร Jean-Georges (3 MICHELIN Stars ในขณะนั้น) อีกด้วย หลังจากสั่งสมประสบการณ์ได้มากพอเชฟต้นตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อเปิดห้องอาหาร Le Du จนสามารถคว้ารางวัล
1 MICHELIN Star มาครองได้ในคู่มือประจำปี 2019 และสร้างชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในคณะกรรมการรายการ Top Chef Thailand อีกด้วย

[THE FOOD] ก่อนหน้านี้รูปแบบการนำเสนออาหารของ Le Du จะเป็นการหยิบยกเมนูอาหารไทยพื้นบ้านมาปรับรูปแบบให้มีความร่วมสมัยและเป็นสากลมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทางร้านเปลี่ยนโฉมมาเป็น Le Du 3.0 เชฟต้นยังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของ Tasting Menu ใหม่โดยอาศัยวัตถุดิบพื้นบ้านที่แม้กระทั่งคนไทยอาจยังไม่เคยได้ยินหรือคุ้นหูมาประกอบกันโดยอาศัยความรู้ของแก่นอาหารไทยในการรังสรรค์องค์ประกอบและเมนูใหม่ ๆ ขึ้นมาเป็นของตัวเองทำให้อาหารทุกจานมีความแปลกใหม่และไม่ซ้ำใคร ลูกค้าสามารถเลือกชิม Tasting Menu ได้ตามจำนวนคอร์สคือ 4-Course (3,900++) และ 6-Course (4,500++) ทั้งยังสามารถสั่ง Signature River Prawn (1,400++) ซึ่งเป็นเมนูที่ได้รับการยอมรับจากเหล่านักชิมในวงกว้างมาลองชิมกันเพิ่มเติมได้อีกด้วย รายการไวน์มีความหลากหลายพอสมควรและผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีโดย Sommelier มืออาชีพ

[WHY GO] เราเชื่อว่าเหล่านักชิมชาวไทยอาจจะเคยแวะมาชิมที่ Le Du กันมาบ้างแล้วรวมไปถึงตัวเราเองที่แวะกลับมาชิมอยู่บ้างประมาณปีละ 1 ครั้ง ในวันนี้เราพบว่าเชฟต้นสามารถพัฒนา Le Du ไปได้อีกขั้นโดยการคิดค้นและผสานทุก ๆ องค์ประกอบขึ้นมาใหม่เป็นของตัวเองจนอาจพูดได้ว่านี่คืออีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ Le Du ที่สามารถก้าวพ้นขีดจำกัดแบบเดิมของตัวเองออกมาได้ในที่สุด