หน้าแรก » 🇹🇭 Sartoria by Paulo Airaudo – ซาร์โทเรีย บาย เปาโล อายราวโด
Visit: March 15, 2025
🇹🇭 Sartoria by Paulo Airaudo - ซาร์โทเรีย บาย เปาโล อายราวโด
👨🏻🍳 Chef Paulo Airaudo - เชฟเปาโล อายราวโด
56th Floor The Empire, No.1, ถ. สาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
Tel: 02-407-1654

Cuisine
🍴 Italian Contemporary - อาหารอิตาลีร่วมสมัย
Country
Thailand
MICHELIN Guide
None
Score
15/20
Price
[INTRO] เมื่อความปราณีตของห้องเสื้อชั้นสูงผสานกับศาสตร์แห่งการปรุงอาหารระดับโลก Sartoria by Paulo Airaudo ได้ถือกำเนิดขึ้นบนชั้น 56 ของโครงการ EA Rooftop at The Empire ในย่านสาทรพร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารสุดพิเศษที่ผสานรสชาติอันลุ่มลึกของอาหารอิตาลีเข้ากันกับความสร้างสรรค์ในทุก ๆ จาน















Price :
3,980-5,980++
Parking :
จอดที่โครงการ EA Rooftop at The Empire
Operating Time :
อังคาร-อาทิตย์ 18.00-22.30, ปิดวันจันทร์
Dress Code :
Smart Casual
Score
👍 สุดยอดห้องอาหารอิตาลีร่วมสมัยแห่งใหม่ที่มาพร้อมกับทัศนียภาพมุมสูงของเมืองกรุงและคุ้งน้ำเจ้าพระยา
อาหาร :
15
ราคา :
เทคนิค :
อัตลักษณ์ :
บรรยากาศ :
บริการ :
ไวน์ :
Map
📃 L'OPERA COMPLETA (7 COURSES - 5,980++)

Sartoria by Paulo Airaudo – ซาร์โทเรีย บาย เปาโล อายราวโด
Italian Contemporary – อาหารอิตาลีร่วมสมัย
Chef Paulo Airaudo – เชฟเปาโล อายราวโด

[INTRO] เมื่อความปราณีตของห้องเสื้อชั้นสูงผสานกับศาสตร์แห่งการปรุงอาหารระดับโลก Sartoria by Paulo Airaudo ได้ถือกำเนิดขึ้นบนชั้น 56 ของโครงการ EA Rooftop at The Empire ในย่านสาทรพร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารสุดพิเศษที่ผสานรสชาติอันลุ่มลึกของอาหารอิตาลีเข้ากันกับความสร้างสรรค์ในทุก ๆ จาน

SNACKS
เริ่มต้นด้วย Consommé หรือซุปใสร้อน ๆ ที่เตรียมขึ้นมาจากแก่นตะวันให้รสชาติอันกลมกล่อม เชฟได้ใส่อโรมาของใบเตยไทยลงไปในซุปด้วย จากนั้นหยดน้ำมันวานิลลาและน้ำมันส้มมือลงไปให้ความหอมและความเป็นซิตรัสเบา ๆ ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี (15/20)

SNACKS
ถั่วหยดน้ำตาหรือ Grisante Lágrima ที่ได้รับความนิยมอย่างมาในภูมิภาค Basque Country ได้ถูกนำเมล็ดพันธุ์มาเพาะที่จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นผ่านไฟเพียงเบา ๆ แล้วคลุกเคล้ากับน้ำมันต้นหอม จุดเด่นของถั่วคือเนื้อสัมผัสที่กรอบบริเวณผิวเมล็ดถั่วและแตกให้ความหวานระเบิดออกมาขณะเคี้ยว เชฟใส่มาใน Tartelette กรอบ ทั้งยังมีเจลลี่ยูซุที่จะดึงความหวานของถั่วและเนื้อปูหิมะจากจังหวัดฮอกไกโดให้เด่นชัดมากขึ้น (15/20)

SNACKS
Mortadella ที่เชฟเตรียมมาเป็นมูสเนื้อเนียนในโคน Cornetto ที่เตรียมมาจากแป้งบริกซ์ ด้านบนท็อปด้วยถั่วพิสตาชิโอ้จากประเทศอิตาลี (15/20)

SNACKS
คอร์ส Snacks จบด้วยการเสิร์ฟ Consommé หรือซุปใสที่เตรียมมาจากปลาแมกเคอเรลโดยมีเนื้อปลาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมอยู่ด้วย ด้านล่างรองด้วยคัสตาร์ดไข่เนื้อเนียน เชฟใส่อูนิสายพันธุ์บาฟุนและหอยเป่าฮื้อเกาหลีมาช่วยสร้างมิติทางเนื้อสัมผัส จากนั้นท็อปด้านบนด้วยต้นหอมและใบ Kinome (15/20)

THE BREAD
สำหรับขนมปังทางร้านเสิร์ฟมา 3 รูปแบบเริ่มต้นที่ Grissini ที่มีอโรมาหอม ๆ ของน้ำมันโรสแมรี ถัดมาคือ Focaccia Bread ที่มีความเค็มของมะกอกคาลามาตาและความอูมามิของมะเขือเทศไทย สุดท้ายคือขนมปัง Sourdough คลาสสิค ส่วนในถ้วยคือน้ำมันมะกอก Evo นำเข้าจากประเทศอิตาลี

HAMACHI
KOHLRABI | KOMBU | SHISO | SEA GRAPES
ปลาฮามาจิที่ผ่านการ Cured เพื่อดึงน้ำออกนาน 5-7 วันแล้วต่อด้วยการ Dry-Aged จนได้เนื้อสัมผัสที่ดี เชฟวางสลับมากับ Watermelon Radish เป็นรูป Rosette ดอกกุหลาบสร้างมิติทางเนื้อสัมผัสที่ลงตัว รอบ ๆ คือน้ำที่สกัดมาจาก Kohlrabi ผสานเข้ากันกับน้ำมันสาหร่ายคอมบุช่วยสร้างความอูมามิ ส่วนด้านบนท็อปด้วย Sea Grapes หรือสาหร่ายพวงองุ่น (15/20)

SCALLOP
DAIKON | VIERGE ROTI | DASHI | FINGER LIME
หอยเชลล์ยักษ์โฮตาเตะนำเข้าจากเกาะ Hokkaido แพนเซียแล้วหั่นครึ่งมาแสดงให้เห็นถึงเนื้อตรงกลางที่ฉาำหวาน รอบ ๆ คือซุป Consommé อุ่น ๆ เตรียมมาจากหมึกให้ความหอมและอูมามิ เชฟปรุงแต่งด้วยความเปรี้ยวของมะนาวนิ้วมือแล้วท็อปด้านบนด้วยกระเทียมต้นทอด สุดท้ายพนักงานจะขูดส่วนเปลือกของเลมอน Amalfi ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบระดับโลกของภูมิภาค Campania ในประเทศอิตาลีสร้างมิติความเป็นซิตรัสและความขมได้อย่างมีมิติ (15/20)

DUCK CAPPELETTI
THYME I DUCK JUS
Cappeletti เป็นพาสต้าทรงเกี๊ยวยัดไส้ด้านในด้วยขาเป็ดที่ผ่านการกงฟีในน้ำมันแล้วเตรียมมาให้มีเนื้อสัมผัสละมุนจนแทบละลายในปาก รอบ ๆ คือซอสเนย-ใบไทม์หอมมันแล้วเติมแต่งความเข้มข้นด้วยซอส Jus ที่เตรียมมาจากกระดูกเป็ดเคี่ยวนั่นเอง (16/20)

TAGLIOLINI
UNI | VIN JAUNE SAUCE
พาสต้าเส้น Tagliolini โฮมเมดคลุกเคล้ามากับซอสรสชาติเบา ๆ ที่เตรียมมาจาก Yellow Wine ด้านบนท็อปด้วยอูนิสายพันธุ์บาฟุนคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น (14/20)

RISOTTO CARABINERO
PARSLEY | KUMQUAT
ข้าว Risotto สายพันธุ์ Vialone Nano เสิร์ฟมาที่ความสุกนิ่มกว่าปกติเล็กน้อยหรือเกือบ Al Dente ด้านบนคือเนื้อกุ้งแดง Carabinero จากประเทศสเปนและ Kumquat หมักให้ความเปรี้ยวและความหนึบมาตัดกันกับความหวานของเนื้อกุ้ง นอกจากนี้ยังมีเจลยูซุและใบ Oxalis สีแดงใส่มาด้วย (15/20)

KINMEDAI
MAIS | PEARL ONION | CHAMPAGNE SAUCE
ปลา Kinmedai นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เชฟนำไปผ่านกระบวนการ Dry-aged นาน 5-7 วันเพื่อให้มีเนื้อสัมผัสที่เฟิร์มมากขึ้นย่างจากย่างแบบ Open-fire จนสุกพอเหมาะ ข้าง ๆ กันคือข้าวโพดย่าง หัวหอม และกระเทียมดำ ส่วนไฮไลท์ของจานคือซอสแชมเปญอันแสนละมุนลิ้น (16/20)

PIGEON
BEETROOT | PIGEON JUS | VIERGE SAUCE
นกพิราบนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เชฟนำไปผ่านกระบวนการ Dry-aged 5-7 วันแล้วเสิร์ฟมาที่คววมสุก Rare เพื่อคงไว้เพื่อเนื้อสัมผัสที่นุ่มกรอบนอกฉ่ำในของนก ข้าง ๆ คือบีทรูทที่ฝานแบบเส้น Tagliatelle แบนยาวสร้างมิติทางเนื้อสัมผัสที่ดี นอกจากนี้ยังมีบีทรูทเตรียมมาเป็น Purée ให้ Earthy Aroma เข้ากันกับกลิ่นเฉพาะตัวของนกพิราบได้ดี ตรงกลางคือซอส Jus ที่เตรียมมาจากกระดูกของนกพิราบเคี่ยวจนเข้มข้นและ Sauce Vierge ให้รสชาติเปรี้ยวเพียงเบา ๆ มาช่วยเบรคความมันของนกนั่นเอง (15/20)

PIGEON
BEETROOT | PIGEON JUS | VIERGE SAUCE
นกพิราบนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เชฟนำไปผ่านกระบวนการ Dry-aged 5-7 วันแล้วเสิร์ฟมาที่คววมสุก Rare เพื่อคงไว้เพื่อเนื้อสัมผัสที่นุ่มกรอบนอกฉ่ำในของนก ข้าง ๆ คือบีทรูทที่ฝานแบบเส้น Tagliatelle แบนยาวสร้างมิติทางเนื้อสัมผัสที่ดี นอกจากนี้ยังมีบีทรูทเตรียมมาเป็น Purée ให้ Earthy Aroma เข้ากันกับกลิ่นเฉพาะตัวของนกพิราบได้ดี ตรงกลางคือซอส Jus ที่เตรียมมาจากกระดูกของนกพิราบเคี่ยวจนเข้มข้นและ Sauce Vierge ให้รสชาติเปรี้ยวเพียงเบา ๆ มาช่วยเบรคความมันของนกนั่นเอง (15/20)

GRANITA
ล้างปากด้วยการผสมผสานอโรมาของข่าและตะไคร้เสิร์ฟมาในรูปแบบของ Snow Granita ด้านล่างรองด้วยเจลลี่ที่เตรียมมาจากมะพร้าวและใบโหระพา ส่วนด้านบนท็อปด้วยองค์ประกอบที่สร้างความสดชื่นอย่างใบเลมอนบาล์ม (15/20)

THE APPLE
SALTED CARAMEL GELATO | 40 YEARS BALSAMIC VINEGAR
ของหวานจานหลักคือแอปเปิ้ลโฟมเสิร์ฟมากับแอปเปิ้ลเชื่อมที่หั่นเป็นชิ้นจิ๋ว ๆ อยู่ด้านใน ด้านบนคือไอศกรีม Salted Caramel เสิร์ฟมากับเจลแอปเปิ้ล แผ่นกรอบแอปเปิ้ล และเมล็ดสน นอกจากนี้ยังมีความหวานของหยดน้ำส้มบัลซามิคที่ผ่านการบ่มนานถึง 40 ปีสร้างรสหวานที่พอเหมาะให้กับจาน (15/20)

PETIT FOURS
ปิดท้ายด้วยของหวานจิ๋วคือ Raspberry Marshmallow & Coconut Zest

PETIT FOURS
ในภาพคือ Choux with Banana Ganache and Yuzu Gel, Passionfruit Tartelette with Burnt Meringue และ Chocolate Praline with Dark Chocolate & Thai Tea Ganache

PETIT FOURS
Dewars Whisky Gum with Lemon Sugar เคี้ยวนุ่มหนึบ

PETIT FOURS
Australian Tamarillo with Calamansi Gel, Ecuadorian Yellow Dragonfruit และ Japanese Strawberry

PETIT FOURS
ชุด Petit Fours ทั้งหมด

COFFEE AND TEA
จับคู่ Petit Fours กับกาแฟหรือชาตามธรรมเนียม

รายการเครื่องดื่มในวันนี้

[THE FOOD] เชฟ Paulo Airaudo ได้มอบหมายให้หัวหน้าเชฟ Ales Donat หยิบยกเทคนิคโมเดิร์นมาผสมผสานเข้ากันกับการจัดเรียงคอร์สแบบอาหารอิตาลี นอกจากนี้ยังคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพสูงจากทั้งฝั่งยุโรปและเอเชียเข้าไว้ด้วยกันผ่าน Tasting Menu ทั้ง 2 รูปแบบคือ L’ESSENZA (5 Courses – 3,980++) และ L’OPERA COMPLETA (7 Courses – 5,980++) พร้อมกับมี ADD ON MENU เป็นเมนูที่เข้าถึงง่ายอย่างเช่น Beef Rossini หรือ Blue Lobster ให้ได้สั่งเพิ่มมาชิมกันอีกด้วย อีกหนึ่งไฮไลท์คือรายการไวน์ที่ทางร้านเลือกมาจับคู่ Pairing นั้นเข้ากับอาหารทุกจานได้อย่างไร้ที่ติ

ตัวอย่างวัตถุดิบในวันนี้

ตัวอย่างวัตถุดิบในวันนี้

ตู้สำหรับ Dry-aged ปลา

รายการจับคู่ไวน์

[THE PLACE] โครงการ EA Rooftop at The Empire ตั้งอยู่บนชั้น 55 ถึงชั้นดาดฟ้าของอาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ในย่านสาทรรวบรวมร้านอาหารและคาเฟ่ชั้นนำจากทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ Sartoria by Paulo Airaudo ห้องอาหารอิตาลีร่วมสมัยที่โดดเด่นด้วยทัศนียภาพมุมกว้างของโค้งน้ำเจ้าพระยาและตึกระฟ้าในกรุงเทพ

เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ มีความโค้งมนผสานเข้ากันกับการเลือกใช้โทนสีน้ำตาลเข้มและสีน้ำเงิน

ตรงกลางร้านคือห้องครัวแบบเปิดเผยให้เห็นทีมเชฟที่คอยจัดเตรียมอาหารกันแบบคอร์สต่อคอร์ส

นอกจากนี้ยังมีลวดลายโมเสกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมหาวิหาร Cattedrale di Santa Maria del Fiore อันโด่งดังอีกด้วย

ชื่อร้าน Sartoria ที่แปลว่าร้านตัดเสื้อแบบ Tailor-made ส่งผ่านไปถึงการตกแต่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากห้องเสื้อในนคร Florence เมืองหลวงของแคว้น Tuscany

ภายในห้องอาหาร

ภายในห้องอาหาร

[THE CHEF] Paulo Airaudo เกิดในปี 1985 ที่เมือง Córdoba ในประเทศอาร์เจนตินาโดยมีครอบครัวเป็นผู้อพยพชาวอิตาลี หลังจากจบเป็นเชฟมืออาชีพเขาเริ่มต้นออกเดินทางเพื่อสั่งสมประสบการณ์ด้านการทำอาหารในประเทศต่าง ๆ เช่นเม็กซิโกและเปรูรวมไปถึงห้องอาหารระดับสูงในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็น Arzak (3 MICHELIN Stars) ในประเทศสเปน, The Fat Duck (3 MICHELIN Stars) ในประเทศอังกฤษ และ Magnolia (1 MICHELIN Star ในขณะนั้น) ในประเทศอิตาลี ในปี 2015 เขาเปิดห้องอาหาร La Bottega เป็นของตัวเองในย่านเมืองเก่าของนคร Geneva และสามารถคว้ารางวัล
1 MICHELIN Star มาครองได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาได้เปิดห้องอาหาร Amelia by Paulo Airaudo ในปี 2017 นำเสนออาหารที่มีความผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่นและอิตาลีและสามารถคว้ารางวัล
1 MICHELIN Star มาครองได้เพียง 7 เดือนหลังเปิดทำการและยกระดับสู่
2 MICHELIN Stars ในที่สุด นอกจากนี้เขายังมีห้องอาหารอื่น ๆ ในความควบคุมอีกมากมายคือ Noi by Paulo Airaudo (
2 MICHELIN Stars), iBAi by Paulo Airaudo (
1 MICHELIN Star), Aleia (
1 MICHELIN Star) รวมไปถึงการเปิดร้าน Sartoria by Paulo Airaudo แห่งนี้ในกรุงเทพและ Belén by Paulo Airaudo ในเชียงใหม่อีกด้วย

[WHY GO] หลังจบมื้ออาหารเราพบว่า Sartoria by Paulo Airaudo คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่หลงใหลในศิลปะแห่งการรับประทานอาหาร Fine Dining ทีมเชฟสามารถคัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมียมมาผสานกับเทคนิคการปรุงขั้นสูงได้อย่างปราณีตพร้อมด้วยการจับคู่ไวน์ที่เสริมรสชาติได้อย่างลงตัว หากต้องการประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ ขอแนะนำให้เลือกนั่งบริเวณริมกระจกเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศยามเย็นพร้อมชมเส้นขอบฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีในช่วงพระอาทิตย์ตกดินเติมเต็มทุกความประทับใจในมื้อพิเศษนี้อย่างแท้จริง