Visit: January 17, 2024

🇹🇭 INDDEE - อินดี

👨🏻‍🍳 Chef Sachin Poojary - เชฟซาชิน พูจารี

68/1 ซ.หลังสวน ถ.เพลินจิต เขตลุมพินี แขวงปทุมวัน, กรุงเทพ, 10330, ประเทศไทย

Tel: 062-812-9696

Cuisine

🍴 Indian, Contemporary - อาหารอินเดีย, อาหารร่วมสมัย

Country

Thailand

MICHELIN Guide

1 MICHELIN Star

Score

15.5/20

Price

4/5
          

🎗 [INTRO] บทความในวันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปพบกับห้องอาหารอินเดียน้องใหม่ที่ได้รับการบรรจุลงในคู่มือปกแดงฉบับปี 2024 หลังจากการเปิดตัวเพียงไม่ถึง 1 ปี ตัวร้านอาศัยเทคนิคที่โดดเด่นของทีมเชฟยุคใหม่ประกอบกันกับความรู้เกี่ยวกับอาหารอินเดียในเชิงลึกของเชฟ Sachin Poojary จนสามารถนำเสนอ Tasting Menu ที่มีความร่วมสมัยและเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องตีความมากนัก

          

🎗 [THE PLACE] INDDEE ตั้งอยู่ในซอยหลังสวนมีลักษณะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีอายุเกินกว่า 100 ปี ลูกค้าสามารถขับรถมาจอดได้แบบ Valet Parking ก่อนจะเดินผ่านซุ้มประตูโค้งที่รายล้อมด้วยสวนเฟิร์นสีเขียวดูร่มรื่นตา ห้องรับประทานอาหารหลักออกแบบโดยนักออกแบบภายในชาวฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง Matteo Messervy โดยเขาได้ออกแบบพื้นที่ชั้นล่างให้มีความโดดเด่นด้วยครัวแบบเปิดถึง 2 จุดพร้อมกับทีมเชฟจำนวนมากคอยจัดเตรียมอาหารและจัดแต่งจานให้ผู้ที่ได้นั่งบริเวณเคาน์เตอร์หินอ่อนแบบเราได้รับชมกันสด ๆ ตลอดเวลา โต๊ะรับประทานอาหารหลักออกแบบให้ดูหรูหราแต่ยังคงไว้ซึ่งความแคชวลให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการมากจนเกินไป บนผนังตกแต่งด้วยรูปถ่ายขาวดำของประเทศอินเดียในสมัยก่อน ห้องเก็บไวน์กั้นด้วยกระจกใสแลดูสวยงามไม่เป็นรองใคร ถัดมาคือบริเวณชั้นสองที่ให้บรรยากาศแบบกลาสเฮ้าส์ เพดานกั้นด้วยกระจกใสปล่อยให้แสงภายนอกส่องสว่างเข้ามาในช่วงก่อนพลบค่ำ นอกจากนี้หากสังเกตให้ดีจะพบว่าตัวโลโก้นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Arch หรือซุ้มประตูที่จะพาลูกค้าออกเดินทางไปพบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ยังมีรูปสามเหลี่ยมที่ใช้สื่อถึงไฟซึ่งเป็นหัวใจหลักของการปรุงอาหารแบบ Open-fired สุดท้ายคือไม้ขีดที่มีลักษณะเหมือนตัว i ซึ่งสื่อถึงการจุดไฟ, การจุดประกายแรงใจของทีมงาน และตัวอักษรแรกของชื่อร้านนั่นเอง

🎗 [THE CHEF & THE FOOD] เชฟ Sachin Poojary เป็นชาวเมือง Mumbai โดยกำเนิด เขามีประวัติที่ผ่านการทำงานที่โรงแรมสุดหรูอย่าง The Taj Mumbai ทำให้มั่นใจว่าความรู้เกี่ยวกับอาหารอินเดียในแต่ละภูมิภาคของเขานั้นไม่ธรรมดา นอกจากนี้เขายังเคยร่วมงานกับห้องอาหาร Wasabi by Morimoto และซึมซับเทคนิคการเตรียมอาหารญี่ปุ่นมามากพอสมควรอีกด้วย หลังจากบรรลุข้อตกลงกับห้องอาหาร INDDEE เขาจึงเดินทางมายังประเทศไทยโดยมีทีมเชฟมากประสบการณ์หลายคนในครัวคอยสนับสนุนเพื่อให้อาหารอินเดียในรูปแบบร่วมสมัยถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทางร้านได้นำเสนออาหารจำนวน 7 คอร์สผ่าน Tasting Menu ที่มีราคาสุดคุ้มค่าเพียง 3,200 บาทเท่านั้น ถึงแม้ในรายการอาจไม่มีวัตถุดิบราคาแพงแต่ทีมเชฟได้ใส่ทั้งเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ลงไปอย่างเด่นชัด นอกจากนี้ยังมี Supplement Courses ทั้งเนื้อแกะ ล็อบสเตอร์ ให้ได้เลือกชิมกันเพิ่มเติมในราคาสมเหตุสมผล รายการไวน์โดยเฉพาะการ Pairing เครื่องดื่มได้รับการนำเสนอโดยคุณเจย์-ธนากร บอทอร์ฟ ซึ่งเป็น Sommelier มากความสามารถผู้คว้ารางวัล MICHELIN Sommelier Award ประจำปี 2024 ไปครองได้อีกด้วย ส่วนตัวอย่างอาหารจานที่โดดเด่นในวันนี้คือ

✨ MOREL
Kashmiri morel stuffed with khoya & nuts with enoki saffron pulao
Kashmir

ตัวแทนของแคว้น Kashmir เป็นเห็ดมอเรลแคชเมียร์หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า Gucchi เชฟนำไปย่างถ่านแล้วรมควันต่อจนหอมทั้งยังให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มแต่ไม่หนึบเท่าเห็ดมอเรลของฝรั่งเศส ด้านในสอดไส้ Khoya หรือนมแห้งและ Paneer (ปาร์นีย์) หรือชีสยอดนิยมของประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังมีมิติทางเนื้อสัมผัสที่เกิดขึ้นจากถั่วอัลมอนด์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ พิสตาชิโอ้ และแอปริคอต ด้านนอกพ่นเปรย์ด้วยน้ำมัน Double-distilled Pine Sugar Oil แล้วเติมแต่งรสชาติด้วยเกลือหิมาลายันสีดำ ด้านบนสุดคือโฟมที่เตรียมมาจากนมถั่วอัลมอนด์ ไฮไลท์ของจานคือ Pulao ซึ่งเชฟนำเสนอมาโดยใช้ส่วนหัวของเห็ดเข็มทองแทนที่เมล็ดข้าวแบบปกติที่เติมแต่งด้วยอโรมาของแซฟรอนจาก Kashmir ทั้งยังให้เนื้อสัมผัสที่เคี้ยวหนึบแต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มตัดกันกับเห็ดโมเรลได้อย่างลงตัว (16/20)

✨ QUAIL
Nagpuri saoji spiced quail with parsnip puree
Nagpur

Nagpur เป็นเมืองทางตอนกลางของประเทศอินเดียที่มีชื่อเสียงในเรื่องของส้ม เชฟตั้งใจนำเสนอเมนูท้องถิ่นชื่อว่า Saoji ซึ่งได้จากการนำเครื่องเทศมาผ่านกรรมวิธีอันหลากหลายทั้งเผาและตำจนละเอียดจนได้เป็นผงสีน้ำตาลเข้ม สำหรับโปรตีนหลักเชฟนำนกกระทาฝรั่งเศสมาคลุกกับเครื่องเทศ Saoji ก่อนจะย่างด้วยถ่านแล้วรมควันของถ่านไม้ซีดาร์จนได้เนื้อสัมผัสที่เนียนละเอียด จากนั้นราดด้วยซอส Quail Jus รสชาติเข้มข้นที่มีความเปรี้ยวและขมเฉพาะตัวของส้มจากนคร Nagpur เชฟแนะนำให้เริ่มต้นชิมเนื้อนกกระทาส่วนอกที่ยังคงความฉ่ำพอเหมาะ จากนั้นลิ้มรสความหวานมันของพูเรพาสนิป จบท้ายด้วยการลิ้มลองชิ้นฝั่งขวามือที่ผสมผสานเนื้อนกกระทา เนื้อไก่ และเครื่องเทศ Saoji เข้าไว้ด้วยกัน (16/20)

✨ CHICKEN
Hand-pulled chicken khurchan with nashi pear
Lucknow

Khurchan เป็นคำที่มีรากมาจากภาษาฮินดี Khurachna ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าการขูดนั่นเอง เชฟ Sachin ได้เล่าย้อนไปถึงที่มาของจานนี้ในอดีตว่าทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงเหล่าพ่อครัวจะปรุงอาหารในภาชนะขนาดใหญ่ เมื่อจบงานอาหารต่าง ๆ มักเหลือติดอยู่บริเวณก้นกระทะโดยเหล่าพ่อครัวนิยมขูดเนื้อส่วนนี้ที่เกิดกระบวนการ Maillard Reaction ออกมาชิมเนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยกว่าส่วนอื่น ๆ ในที่นี้เชฟนำเนื้อไก่ไปย่างในเตาทันดูร์ก่อนจะฉีกด้วยมือแล้วนำมาแปะอยู่บริเวณขอบถ้วยภาชนะ ตรงกลางคือ Kasuri Methi ประกอบไปด้วยผัก Fenugreek ผสมผสานกันกับ Crème Fraîche ด้านบนท็อปด้วย Nashi Pear ที่มีความกรอบและความฉ่ำช่วยเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมี Kalongi Naan ที่มีส่วนผสมของเมล็ดหอมให้รับประทานไปควบคู่กัน (17/20)

✨ ROSE
Baked yogurt falooda with Bishop’s rose from Chiang Mai and basil seeds
Mumbai

ล้างปากด้วยคอร์สของหวานที่เชฟถอดแบบมาจากเครื่องดื่ม Falooda ของประเทศอินเดียซึ่งมีที่มาจากเครื่องดื่มในอาณาจักร Persia อีกทีหนึ่ง ในที่นี้เชฟเริ่มต้นจากการจากการนำกุหลาบอังกฤษจากจังหวัดเชียงใหม่เสิร์ฟมาคู่กับไอศกรีม นม เส้น และเม็ดแมงลักช่วยเพิ่มมิติทางเนื้อสัมผัสได้อย่างพอเหมาะ ในปัจจุบัน Falooda ได้แผ่ขยายไปยังประเทศต่าง ๆ มากมายและกลายมาเป็นต้นกำเนิดของอาหารหวานยอดนิยมรวมไปถึงซ่าหริ่มของประเทศไทยซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า Šarāb หรือภาษาอังกฤษคือ Syrup อีกด้วย (16/20)

🎗 [WHY GO] INDDEE เป็นหนึ่งในห้องอาหารอินเดียร่วมสมัยที่พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากเชฟ Sachin Poojary ผู้มีความรู้เกี่ยวกับอาหารอินเดียในหลากหลายภูมิภาคและทีมงานเชฟคุณภาพคับแก้วอีกหลายคนในห้องครัว อาหารทุกจานมีที่มาอันน่าสนใจทั้งตัวเชฟ Sachin เองยังสามารถอธิบายไปได้จนถึงประวัติศาสตร์และขั้นตอนการเตรียมในรูปแบบใหม่ Sommelier อย่างคุณเจย์สามารถแนะนำไวน์แต่ละชนิดได้อย่างลึกซึ้ง เราขอแนะนำให้เพื่อน ๆ ที่มีใจรักอาหารอินเดียหรือแม้กระทั่งผู้ที่ต้องการเปิดโลกอาหารแบบร่วมสมัยได้ลองแวะมาชิมกันก่อนที่ทางร้านจะปรับราคาขึ้น รับรองว่าคุ้มค่าคุ้มราคาทุกบาทอย่างแน่นอน

Price :

3,200++

Parking :

จอดรถแบบ Valet Parking

Operating Time :

17.30-23.30

Dress Code :

Smart Casual

Score

👍 สุดยอดห้องอาหารร่วมสมัยที่จะพาเหล่านักชิมออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศอินเดีย

อาหาร :

15.5

ราคา :

4/5

เทคนิค :

3/5

อัตลักษณ์ :

4/5

บรรยากาศ :

4/5

บริการ :

4/5

ไวน์ :

4/5

Map

📃 7-COURSE MENU (3,200++)

          

🥄 BITES INTO INDDEE

XEC XEC

Goa

KHARI CHAI

Mumbai

MIRCH SALAN

Hyderabad

CHAAT

Pan India

🥄 OUR 7 COURSE JOURNEY

MOREL
Kashmiri morel stuffed with khoya & nuts with enoki saffron pulao

Kashmir

SCALLOP
Fresh scallop tartare & injipuri

Kerala

COD
Black cod with Bengali kasundi, gondhoraj & in-house pickled ginger buds

Kolkata

QUAIL
Nagpuri saoji spiced quail with parsnip puree

Nagpur

CHICKEN
Hand-pulled chicken khurchan with nashi pear

Lucknow

ROSE
Baked yogurt falooda with Bishop’s rose from Chiang Mai and basil seeds

Mumbai

CHOCOLATE
65% Pondicherry chocolate with filter coffee from Chikmagalur, Tuticorin sea salt & Malabari vanilla

South India

🥄 SUPPLEMENT COURSES

OYSTER (250++)
Fresh oyster with sol kadhi, pickled daikon and compressed turnips

Konkan Belt

KULCHA (250++)
Fennel gorgonzola kulcha, Truffle brie kulcha
Punjab

🇹🇭 INDDEE – อินดี

🌟 1 MICHELIN Star – 1 ดาวมิชลิน

🍴 Indian, Contemporary – อาหารอินเดีย, อาหารร่วมสมัย

👨🏻‍🍳 Chef Sachin Poojary – เชฟซาชิน พูจารี

🎗 [INTRO] บทความในวันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปพบกับห้องอาหารอินเดียน้องใหม่ที่ได้รับการบรรจุลงในคู่มือปกแดงฉบับปี 2024 หลังจากการเปิดตัวเพียงไม่ถึง 1 ปี ตัวร้านอาศัยเทคนิคที่โดดเด่นของทีมเชฟยุคใหม่ประกอบกันกับความรู้เกี่ยวกับอาหารอินเดียในเชิงลึกของเชฟ Sachin Poojary จนสามารถนำเสนอ Tasting Menu ที่มีความร่วมสมัยและเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องตีความมากนัก

OYSTER (250++)
Fresh oyster with sol kadhi, pickled daikon and compressed turnips
Konkan Belt

เริ่มต้นมื้ออาหารด้วยจานที่เชฟจะพาเหล่านักชิมเดินทางไปยังแถบตะวันตกของประเทศอินเดีย หอยนางรม Gillardeau สด ๆ นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสเสิร์ฟมากับ Solkadhi ซึ่งแต่เดิมเป็นเครื่องดื่มสีชมพูที่ชาวบ้านแถบ Konkan โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่รัฐ Goa นิยมดื่มก่อนหรือดื่มไปพร้อมกับมื้ออาหารโดยตัวเครื่องดื่มจะมีรงควัตถุดิบสีแดงหรือ Anthocyanin จากผิวของ Kokum บาลานซ์ด้วยความหอมของน้ำมะพร้าวและเครื่องเทศอีกบางส่วน เชฟเสิร์ฟ Solkadhi มาให้มีเนื้อสัมผัสเนียนละมุน ตรงกลางคือหัวไชเท้าดองท็อปด้านบนด้วยดอกผักชี (16/20)

XEC XEC
Goa

Xec Xec แต่เดิมเป็นเมนูยอดนิยมจากรัฐ Goa ทางทิศตะวันตกของประเทศอินเดียมีลักษณะเป็นแกงอาหารทะเลเสิร์ฟมาพร้อมกับข้าว ในที่นี้เชฟ Sachin ได้ปรับรูปแบบมานำเสนอโดยใช้เนื้อมะพร้าวแทนสัตว์ทะเล ด้านล่างรองด้วยทาร์ตบัควีตเสริมด้วยความสดชื่นของผลแอปเปิ้ลเขียวดองก่อนจะเชื่อมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันด้วยความครีมมี่และความเปรี้ยวของเครมเฟรช ด้านบนคือผงเครื่องเทศ Xec Xec ให้สีสันส้มจัด เชฟ Sachin นำให้รับประทานพร้อมกันในคำเดียวแล้วจบด้วยการใช้นิ้วมือลองแตะชิมผงเครื่องเทศ Xec Xec ที่เสิร์ฟมาข้างจาน (16/20)

KHARI CHAI
Mumbai

Khari มีลักษณะเป็นแป้ง Puff Pastry ที่นิยมกันในแถบนคร Mumbai ในขณะที่ Irani Chai เป็นเครื่องดื่มที่ชาวเปอร์เซียซึ่งเดินทางมาแสวงหาความท้าทายใหม่ ๆ และตั้งรกรากในนคร Mumbai ช่วงยุคศตวรรษที่ 19 ได้นำติดตัวมาและเปิดขายในร้านคาเฟ่ชาวอิหร่านจนได้รับความนิยมไปทั่วในเวลาต่อมา ในที่นี้เชฟ Sachin ได้หยิบเมนูนี้มาดัดแปลงใหม่ให้เป็นอาหารคาวแล้วใช้ชื่อว่า INDDEE Khari Chai ประกอบไปด้วยแป้ง Puff Pastry ทรงโคน ตรงกลางบรรจุเนื้อแพะสับ นอกจากนี้ยังมี Marag หรือซุปรสชาติเข้มข้นแทนที่ชาแบบดั้งเดิมอีกด้วย (16/20)

MIRCH SALAN
Hyderabad

Mirchi Ka Salan เป็นเมนูที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบ Hyderabad มีลักษณะเป็นพริกอินเดียชิ้นยาวเสิร์ฟมาในน้ำเกรวี่ถั่วลิสงสำหรับรับประทานควบคู่กันไปกับ Hyderabadi Biryani เชฟ Sachin ได้นำเสนอออกมาในรูปแบบร่วมสมัยโดยใช้ Padron Pepper จากประเทศสเปนย่างถ่านจนสุก นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบของงา ถั่วลิสง ข้าวเกรียบ รอบ ๆ คือซอส Salan มองเห็นเป็นทรงของชิ้นพริกสำหรับรับประทานแบบ One Bite เชฟใส่ใจรายละเอียดถึงขนาดพ่นสเปรย์ที่เตรียมขึ้นมาจากข้าว Basmati ลงไปเลยทีเดียว (16/20)

CHAAT
Pan India

ปิดท้ายของว่างด้วย Chaat ซึ่งเป็นเมนูอาหารริมทางที่ได้รับความนิยมไปทั่วทั้งประเทศอินเดีย ไฮไลท์คือแผ่นกรอบที่เตรียมขึ้นมาจากมะระ ด้านบนท็อปด้วยผักกว่า 15 ชนิดรวมไปถึงมะเขือเทศจากจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ตัว Chaat ยังให้รสชาติที่ครบทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด และขม ข้าง ๆ กันคือ Chhundo เตรียมมาจากมะม่วงดิบดองให้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่ชวนนึกถึงเมนูมะม่วงกวนแบบบ้านเรา (16/20)

MOREL
Kashmiri morel stuffed with khoya & nuts with enoki saffron pulao
Kashmir

ตัวแทนของแคว้น Kashmir เป็นเห็ดมอเรลแคชเมียร์หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า Gucchi เชฟนำไปย่างถ่านแล้วรมควันต่อจนหอมทั้งยังให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มแต่ไม่หนึบเท่าเห็ดมอเรลของฝรั่งเศส ด้านในสอดไส้ Khoya หรือนมแห้งและ Paneer (ปาร์นีย์) หรือชีสยอดนิยมของประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังมีมิติทางเนื้อสัมผัสที่เกิดขึ้นจากถั่วอัลมอนด์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ พิสตาชิโอ้ และแอปริคอต ด้านนอกพ่นเปรย์ด้วยน้ำมัน Double-distilled Pine Sugar Oil แล้วเติมแต่งรสชาติด้วยเกลือหิมาลายันสีดำ ด้านบนสุดคือโฟมที่เตรียมมาจากนมถั่วอัลมอนด์ ไฮไลท์ของจานคือ Pulao ซึ่งเชฟนำเสนอมาโดยใช้ส่วนหัวของเห็ดเข็มทองแทนที่เมล็ดข้าวแบบปกติที่เติมแต่งด้วยอโรมาของแซฟรอนจาก Kashmir ทั้งยังให้เนื้อสัมผัสที่เคี้ยวหนึบแต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มตัดกันกับเห็ดโมเรลได้อย่างลงตัว (16/20)

SCALLOP
Fresh scallop tartare & injipuri
Kerala

คอร์สนี้เปรียบเสมือนตัวแทนของรัฐ Karala ทางแถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศอินเดีย เชฟนำเสนอหอยเชลล์โฮตาเตะสด ๆ นำไปดองในสาหร่าย Kombu ให้รสชาติอุมามิตามธรรมชาติ จากนั้นสับมาเป็น Tartare เกือบละเอียดให้เนื้อสัมผัสนุ่มเคี้ยวง่าย ด้านบนคือ Injipuri ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าขิงและมะขามโดยเชฟได้แนวคิดมาจากการจัดเสิร์ฟอาหารแบบ Vegetarian เกินกว่า 20 ชนิดมาบนใบตองที่เรียกกันว่า Sadya บริเวณมุมจะมีชัทนีย์ที่เตรียมมาจากขิงและมะขามใส่มาด้วยตลอดเวลา บนใบตองประกอบไปด้วย Injipuri ที่เชฟแยกส่วนเสิร์ฟมาประกอบไปด้วยเกลือมะพร้าว, ชัทนีย์ที่เตรียมมาจากขิงและมะขาม, ข้าวคั่วที่เคลือบด้วยเครื่องเทศและน้ำมันหอยเชลล์, ใบเคอร์รี่เคลือบด้วยน้ำตาลโตนดและขิงสายพันธุ์ Ing Makhir จากทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และองค์ประกอบสุดท้ายคือมัสตาร์ดดอง ข้างกันคือซุป Rasam ที่เตรียมมาจากมะเขือเทศจากจังหวัดเชียงใหม่ผสมผสานกับอโรมาเฉพาะตัวของพริกไทย Tellicherry ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่เคยได้รับการขนานนามว่า Black Gold นั่นเอง (15/20)

COD
Black cod with Bengali kasundi, gondhoraj & in-house pickled ginger buds
Kolkata

เมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Kolkata ทางฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดียคือปลา Alaskan Black Cod ที่เชฟนำไปย่างถ่านก่อนจะนำมารมควันต่อจนหอม ด้านล่างรองด้วยใบมัสตาร์ดดอง เชฟจับคู่มากับ Bengali Kasundi ซึ่งเป็น Pickles ที่แต่เดิมสามารถเตรียมได้โดยชนชั้นสูงเท่านั้น ในที่นี้เชฟได้เตรียมมาโดยใช้เทคนิคการ Marination รอบ ๆ ตัวปลาอย่างเท่าเทียมกันทั้งชิ้น นอกจากนี้ยังมีรสเปรี้ยวที่ได้จาก Gondhoraj ซึ่งเป็นมะนาวชนิดพิเศษผสมผสานกันกับความเผ็ดเบา ๆ ของพริก Kosho นอกจากนี้เชฟยังได้ใส่ตัวอย่างของเพสต์ที่ใช้หมักมาให้ข้าง ๆ จานอีกด้วย หลังจากนั้นค่อยล้างปากด้วยหน่อขิงที่เชฟดองมาด้วยตัวเอง (15/20)

QUAIL
Nagpuri saoji spiced quail with parsnip puree
Nagpur

Nagpur เป็นเมืองทางตอนกลางของประเทศอินเดียที่มีชื่อเสียงในเรื่องของส้ม เชฟตั้งใจนำเสนอเมนูท้องถิ่นชื่อว่า Saoji ซึ่งได้จากการนำเครื่องเทศมาผ่านกรรมวิธีอันหลากหลายทั้งเผาและตำจนละเอียดจนได้เป็นผงสีน้ำตาลเข้ม สำหรับโปรตีนหลักเชฟนำนกกระทาฝรั่งเศสมาคลุกกับเครื่องเทศ Saoji ก่อนจะย่างด้วยถ่านแล้วรมควันของถ่านไม้ซีดาร์จนได้เนื้อสัมผัสที่เนียนละเอียด จากนั้นราดด้วยซอส Quail Jus รสชาติเข้มข้นที่มีความเปรี้ยวและขมเฉพาะตัวของส้มจากนคร Nagpur เชฟแนะนำให้เริ่มต้นชิมเนื้อนกกระทาส่วนอกที่ยังคงความฉ่ำพอเหมาะ จากนั้นลิ้มรสความหวานมันของพูเรพาสนิป จบท้ายด้วยการลิ้มลองชิ้นฝั่งขวามือที่ผสมผสานเนื้อนกกระทา เนื้อไก่ และเครื่องเทศ Saoji เข้าไว้ด้วยกัน (16/20)

KULCHA (250++)
Fennel gorgonzola kulcha, Truffle brie kulcha
Punjab

เราขอแนะนำให้ลองเมนูนกกระทาคู่กันกับ Kulcha ซึ่งเป็นขนมปังโฮมเมด เชฟนำเสนอมา 2 รูปแบบคือ Kulcha ที่ผสมผสานชีส Brie และทรัฟเฟิลเข้าไว้ด้วยกันและ Kulcha ที่ผสมผสานชีส Gorgonzola เข้ากันกับเฟนเนลนั่นเอง (15/20)

CHICKEN
Hand-pulled chicken khurchan with nashi pear
Lucknow

Khurchan เป็นคำที่มีรากมาจากภาษาฮินดี Khurachna ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าการขูดนั่นเอง เชฟ Sachin ได้เล่าย้อนไปถึงที่มาของจานนี้ในอดีตว่าทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงเหล่าพ่อครัวจะปรุงอาหารในภาชนะขนาดใหญ่ เมื่อจบงานอาหารต่าง ๆ มักเหลือติดอยู่บริเวณก้นกระทะโดยเหล่าพ่อครัวนิยมขูดเนื้อส่วนนี้ที่เกิดกระบวนการ Maillard Reaction ออกมาชิมเนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยกว่าส่วนอื่น ๆ (17/20)

CHICKEN
Hand-pulled chicken khurchan with nashi pear
Lucknow

ในที่นี้เชฟนำเนื้อไก่ไปย่างในเตาทันดูร์ก่อนจะฉีกด้วยมือแล้วนำมาแปะอยู่บริเวณขอบถ้วยภาชนะ ตรงกลางคือ Kasuri Methi ประกอบไปด้วยผัก Fenugreek ผสมผสานกันกับ Crème Fraîche ด้านบนท็อปด้วย Nashi Pear ที่มีความกรอบและความฉ่ำช่วยเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี (17/20)

CHICKEN
Hand-pulled chicken khurchan with nashi pear
Lucknow

นอกจากนี้ยังมี Kalongi Naan ที่มีส่วนผสมของเมล็ดหอมให้รับประทานไปควบคู่กัน (17/20)

ROSE
Baked yogurt falooda with Bishop’s rose from Chiang Mai and basil seeds
Mumbai

ล้างปากด้วยคอร์สของหวานที่เชฟถอดแบบมาจากเครื่องดื่ม Falooda ของประเทศอินเดียซึ่งมีที่มาจากเครื่องดื่มในอาณาจักร Persia อีกทีหนึ่ง ในที่นี้เชฟเริ่มต้นจากการจากการนำกุหลาบอังกฤษจากจังหวัดเชียงใหม่เสิร์ฟมาคู่กับไอศกรีม นม เส้น และเม็ดแมงลักช่วยเพิ่มมิติทางเนื้อสัมผัสได้อย่างพอเหมาะ ในปัจจุบัน Falooda ได้แผ่ขยายไปยังประเทศต่าง ๆ มากมายและกลายมาเป็นต้นกำเนิดของอาหารหวานยอดนิยมรวมไปถึงซ่าหริ่มของประเทศไทยซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า Šarāb หรือภาษาอังกฤษคือ Syrup อีกด้วย (16/20)

CHOCOLATE
65% Pondicherry chocolate with filter coffee from Chikmagalur, Tuticorin sea salt & Malabari vanilla
South India

สำหรับของหวานจานหลักเชฟตั้งใจนำเสนอวัตถุดิบสำคัญจากทางตอนใต้ของประเทศอินเดียอย่าง Chocolate จากเมือง Pondicherry ซึ่งเป็นเมืองที่เคยอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสโดยเชฟเลือกใช้ช็อกโกแลตที่ความเข้มข้น 65% นำเสนอมาเพื่อให้มีรสชาติที่กลมกล่อมเข้ากันกับองค์ประกอบของกาแฟจาก Chikmagalur ด้านบนโรยด้วยฝัก Cacao Nibs จาก Pondicherry และเกลือทะเลจากเมือง Thoothukudi ให้รสชาติเค็มที่เป็นเอกลักษณ์ อโรมาของช็อกโกแลตและกาแฟสามารถผสานเข้ากันกับความหอม นวล และเย็นของไอศกรีมวานิลลาจาก Malabar ได้อย่างลงตัว (15/20)

PETIT FOURS

ปิดท้ายด้วยของหวานจิ๋ว 2 อย่างคือ Perad ที่มีต้นกำเนิดมาจากรัฐ Goa ประกอบขึ้นจากฝรั่งสีชมพูผสมเข้ากันกับ Ghee จนได้ออกมาเป็น Guava Cheese สีชมพู ตรงกลางคือ Ghee Marshmallow นุ่มหนึบ ด้านบนท็อปด้วยเจลฝรั่งสีชมพูและพริกไทย Tellicherry เสิร์ฟมาแบบ Half-cooked นั่นเอง ข้างกันคือ 65% Pondicherry Chocolate ที่ผ่านการ Infused ด้วยอโรมาของเครื่องเทศต่าง ๆ ลงไปได้อย่างพอเหมาะ

รายการเครื่องดื่มในวันนี้

น้ำเปล่า

💰 ราคา 19,067.40 บาท/4 pp

🎗 [THE CHEF & THE FOOD] เชฟ Sachin Poojary เป็นชาวเมือง Mumbai โดยกำเนิด เขามีประวัติที่ผ่านการทำงานที่โรงแรมสุดหรูอย่าง The Taj Mumbai ทำให้มั่นใจว่าความรู้เกี่ยวกับอาหารอินเดียในแต่ละภูมิภาคของเขานั้นไม่ธรรมดา นอกจากนี้เขายังเคยร่วมงานกับห้องอาหาร Wasabi by Morimoto และซึมซับเทคนิคการเตรียมอาหารญี่ปุ่นมามากพอสมควรอีกด้วย

หลังจากบรรลุข้อตกลงกับห้องอาหาร INDDEE เขาจึงเดินทางมายังประเทศไทยโดยมีทีมเชฟมากประสบการณ์หลายคนในครัวคอยสนับสนุนเพื่อให้อาหารอินเดียในรูปแบบร่วมสมัยถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด

ทางร้านได้นำเสนออาหารจำนวน 7 คอร์สผ่าน Tasting Menu ที่มีราคาสุดคุ้มค่าเพียง 3,200 บาทเท่านั้น ถึงแม้ในรายการอาจไม่มีวัตถุดิบราคาแพงแต่ทีมเชฟได้ใส่ทั้งเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ลงไปอย่างเด่นชัด นอกจากนี้ยังมี Supplement Courses ทั้งเนื้อแกะ ล็อบสเตอร์ ให้ได้เลือกชิมกันเพิ่มเติมในราคาสมเหตุสมผล

รายการไวน์โดยเฉพาะการ Pairing เครื่องดื่มได้รับการนำเสนอโดยคุณเจย์-ธนากร บอทอร์ฟ ซึ่งเป็น Sommelier มากความสามารถผู้คว้ารางวัล MICHELIN Sommelier Award ประจำปี 2024 ไปครองได้อีกด้วย

โต๊ะรับประทานอาหารหลักออกแบบให้ดูหรูหราแต่ยังคงไว้ซึ่งความแคชวลให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการมากจนเกินไป

ห้องรับประทานอาหารหลักออกแบบโดยนักออกแบบภายในชาวฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง Matteo Messervy โดยเขาได้ออกแบบพื้นที่ชั้นล่างให้มีความโดดเด่นด้วยครัวแบบเปิดถึง 2 จุดพร้อมกับทีมเชฟจำนวนมากคอยจัดเตรียมอาหารและจัดแต่งจานให้ผู้ที่ได้นั่งบริเวณเคาน์เตอร์หินอ่อนแบบเราได้รับชมกันสด ๆ ตลอดเวลา

บริเวณชั้นล่าง

ภายในห้องครัว

บนผนังตกแต่งด้วยรูปถ่ายขาวดำของประเทศอินเดียในสมัยก่อน ห้องเก็บไวน์กั้นด้วยกระจกใสแลดูสวยงามไม่เป็นรองใคร

ถัดมาคือบริเวณชั้นสองที่ให้บรรยากาศแบบกลาสเฮ้าส์

พื้นที่ชั้นสอง

เพดานกั้นด้วยกระจกใสปล่อยให้แสงภายนอกส่องสว่างเข้ามาในช่วงก่อนพลบค่ำ

🎗 [WHY GO] INDDEE เป็นหนึ่งในห้องอาหารอินเดียร่วมสมัยที่พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากเชฟ Sachin Poojary ผู้มีความรู้เกี่ยวกับอาหารอินเดียในหลากหลายภูมิภาคและทีมงานเชฟคุณภาพคับแก้วอีกหลายคนในห้องครัว อาหารทุกจานมีที่มาอันน่าสนใจทั้งตัวเชฟ Sachin เองยังสามารถอธิบายไปได้จนถึงประวัติศาสตร์และขั้นตอนการเตรียมในรูปแบบใหม่ Sommelier อย่างคุณเจย์สามารถแนะนำไวน์แต่ละชนิดได้อย่างลึกซึ้ง

เราขอแนะนำให้เพื่อน ๆ ที่มีใจรักอาหารอินเดียหรือแม้กระทั่งผู้ที่ต้องการเปิดโลกอาหารแบบร่วมสมัยได้ลองแวะมาชิมกันก่อนที่ทางร้านจะปรับราคาขึ้น รับรองว่าคุ้มค่าคุ้มราคาทุกบาทอย่างแน่นอน

นอกจากนี้หากสังเกตให้ดีจะพบว่าตัวโลโก้นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Arch หรือซุ้มประตูที่จะพาลูกค้าออกเดินทางไปพบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ยังมีรูปสามเหลี่ยมที่ใช้สื่อถึงไฟซึ่งเป็นหัวใจหลักของการปรุงอาหารแบบ Open-fired สุดท้ายคือไม้ขีดที่มีลักษณะเหมือนตัว i ซึ่งสื่อถึงการจุดไฟ, การจุดประกายแรงใจของทีมงาน และตัวอักษรแรกของชื่อร้านนั่นเอง

INDDEE ตั้งอยู่ในซอยหลังสวนมีลักษณะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีอายุเกินกว่า 100 ปี ลูกค้าสามารถขับรถมาจอดได้แบบ Valet Parking ก่อนจะเดินผ่านซุ้มประตูโค้งที่รายล้อมด้วยสวนเฟิร์นสีเขียวดูร่มรื่นตา